เมนู

7. อรรถกถาจาตุมสูตร


จาตุมสูตร

มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จาตุมายํ คือใกล้บ้านจาตุมา. บทว่า
ปญฺจมตฺตานิ ภิกฺขุสตานิ คือ ภิกษุบวชไม่นานประมาณ 500 รูป. นัยว่า
พระเถระทั้งสองคิดว่า กุลบุตรเหล่านี้ บวชแล้ว ไม่เคยเห็นพระทศพลเลย เรา
จักให้ภิกษุเหล่านี้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. ภิกษุเหล่านี้ฟังธรรมในสำนักของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักตั้งอยู่ตามอุปนิสัยของตน. เพราะฉะนั้น พระเถระ
ทั้งสองจึงพาภิกษุเหล่านั้นมา. บทว่า สมฺโมทมานา ปราศรัยกัน คือ ภิกษุ
ทั้งหลาย กล่าวคำต้อนรับเป็นต้นว่า อาวุโส สบายดีหรือ. บทว่า เสนาสนานิ
ปญฺญาปยมานา
จัดเสนาสนะ คือ กวาดถูที่อยู่ของอาจารย์และอุปัชฌาย์ของ
ตน ๆ แล้วเปิดประตูหน้าต่าง นำ เตียงตั่งและเสื่อลำแพนเป็นต้น ออกปัด
กวาดตั้งไว้ในที่ตามลำดับ. บทว่า ปตฺตจีวรานิ ปฏิสามยมานา เก็บบาตร
และจีวร คือ คอยบอกกล่าวถึงสมณบริขารอย่างนี้ว่า ท่านขอรับ ท่านจงวาง
บาตรนี้ จีวรนี้ ถาดนี้ คนโทน้ำนี้ ไม้ถือนี้. บทว่า อุจฺจาสทฺทา มหาสทฺทา
เสียงสูงเสียงดัง คือ ทำเสียงเอะอะเอ็ดตะโรเพราะขึ้นเสียงสูง เพราะแผดเสียง
ดัง. บทว่า เกวฏฺฏา มญฺเญ มจฺฉํ วิโลเปนฺติ ราวกะชาวประมงแย่ง
ปลากัน คือหมู่ชนประชุมกันในที่ที่ชาวประมงวางกระจาดใส่ปลาไว้กล่าวว่า
ท่านจงให้ปลาอื่นตัวหนึ่ง จงให้ปลาที่เชือดตัวหนึ่ง แล้วส่งเสียงเอ็ดทะโรลั่นว่า
คนนั้นท่านให้ตัวใหญ่ ทีฉันให้ตัวเล็ก ดังนี้. ท่านกล่าวดังนี้หมายถึงการที่ภิกษุ
เถียงกันนั้น. เมื่อวางตาข่ายเพื่อจะจับปลา ชาวประมงและคนอื่น ๆ ในที่นั้นส่ง
เสียงดังว่า ปลาเข้าไปแล้ว โดยปลายังไม่เข้าไป จับได้ปลาแล้ว โดยยังจับปลา

ไม่ได้. ท่านกล่าวดังนี้หมายถึงการที่ชาวประมงส่งเสียงดังนั้น. บทว่า ปณาเมมิ
เราประณาม คือ ขับไล่ออกไป. บทว่า น โว มม สนฺติเก วตฺถพฺพํ
พวกเธอไม่ควรอยู่ในสำนักเรา. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า พวกเธอมา
ถึงที่อยู่ของพระพุทธเจ้าเช่นเราแล้วยังทำเสียงดังถึงอย่างนี้ เมื่อพวกเธออยู่
ตามลำพังของตน ๆ จักทำความสมควรได้อย่างไร. พวกเช่นท่านไม่มีกิจที่จะ
อยู่ในสำนักของเรา. บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุแม้รูปหนึ่งก็ไม่อาจทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์อย่าทรงประณามพวกข้าพระพุทธเจ้า
ด้วยเหตุเพียงเสียงดังเลยพระเจ้าข้า หรือคำไร ๆ อื่น.
ภิกษุทั้งหมดรับพระพุทธดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กราบทูลว่า
อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า แล้วก็พากันออกไป. อนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นได้มีความหวัง
ว่า เราจักเฝ้าพระศาสดา จักฟังพระธรรมกถา จักอยู่ในสำนักของพระศาสดา
ดังนี้ จึงได้มา. แต่ครั้นมาเฝ้าพระศาสดาผู้เป็นพระบรมครูเห็นปานนี้แล้ว ยัง
ทำเสียงดัง เป็นความผิดของพวกเรา จึงถูกประณาม. เราไม่ได้เพื่อจะอยู่ใน
สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ไม่ได้เพื่อจะเห็นพระสรีระสีดังทอง. ไม่ได้เพื่อ
จะฟังธรรมด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะดังนี้. ภิกษุเหล่านั้นมีความโทมนัสอย่าง
แรง จึงพากันหลีกไป.
บทว่า เตนูปปสงฺกมึสุ เสด็จเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น คือ นัยว่า
เจ้าศากยะเหล่านั้น แม้ในเวลาที่ภิกษุมาก็ประทับนั่งอยู่ ณ ที่นั้น ทรงเห็นภิกษุ
ทั้งหลาย. เจ้าศากยะทั้งหลายได้มีพระวิตก จึงทรงดำริว่า เพราะอะไรหนอ ภิกษุ
เหล่านี้เข้าไปแล้วจึงพากันกลับ เราจักรู้เหตุนั้น จึงเสด็จเข้าไปหาภิกษุเหล่า
นั้น. บทว่า หนฺท เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งคำพูด. บทว่า กหํ ปน ตุมฺเห
พระคุณเจ้าทั้งหลายจะไปไหนกัน คือ พระคุณเจ้าทั้งหลายมาประเดี๋ยวเดียวจะ

พากันไปไหนอีก อันตรายไรๆ เกิดแก่พระคุณเจ้าหรือ หรือว่าเกิดแก่พระทศพล
ก็ภิกษุเหล่านั้นแม้จะไม่ปกปิดด้วยคำอย่างนี้ว่า ถวายพระพร อาตมาทั้งหลาย
มาเพื่อเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า บัดนี้พวกอาตมาได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
จะกลับไปที่อยู่ของตนๆ ก็จริง แต่ไม่ได้ทำเลศนัยเห็นปานนี้ได้ ทูลตามความ
เป็นจริงแล้วกล่าวว่า ถวายพระพร ภิกษุสงฆ์ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประณาม
ดังนี้. อนึ่ง พระราชาเหล่านั้นทรงขวนขวายในพระศาสนา. เพราะฉะนั้นจึงทรง
ดำริว่า เมื่อภิกษุ 500 รูป กับพระอัครสาวกทั้งสองไปกันหมด บาทมูลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทำลาย. เราจักทำให้ภิกษุเหล่านี้กลับให้จงได้ ครั้นทรง
ดำริอย่างนี้แล้วจึงตรัสคำมีอาทิว่า เตนหายสฺมนฺโต ถ้าเช่นนั้นขอพระคุณเจ้า
ทั้งหลายอยู่ครู่หนึ่ง. บรรดาภิกษุแม้เหล่านั้นไม่มีภิกษุแม้แต่รูปเดียวที่จะเดือด
ร้อนใจว่าเราถูกประณามด้วยเหตุเพียงทำเสียงดัง. เราบวชแล้วไม่สามารถจะดำ-
รงชีวิตอยู่ได้. แต่ภิกษุทั้งหมดรับพระดำรัสพร้อมกัน. บทว่า อภินนฺทตุ คือ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาการมาของภิกษุสงฆ์ ขอจงชื่นชมเถิด. บทว่า
อภิวทตุ คือ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยพระกรุณารับสั่งว่า ขอภิกษุสงฆ์
จงมาเถิด. บทว่า อนุคฺคหิโต ขอทรงอนุเคราะห์ คือ ทรงอนุเคราะห์ด้วย
อามิสและธรรม. บทว่า อญฺญถตฺตํ คือ พึงถึงความน้อยใจว่าเราไม่ได้เห็น
พระทศพล. บทว่า วิปริณาโม มีความแปรปรวน คือ เมื่อภิกษุสึกด้วยความ
น้อยใจพึงถึงความแปรปรวน. บทว่า วีชานํ ตรุณานํ เหมือนพืชที่ยังอ่อน
คือ ข้าวกล้าอ่อน. บทว่า สิยา อญฺญถตฺตํ พึงเป็นอย่างอื่น คือ พืชที่
ยังอ่อนเมื่อไม่ได้น้ำในเวลาที่ถึงคราวให้น้ำ พึงถึงความเป็นอย่างอื่นเพราะความ
เหี่ยว. พึงแปรปรวนเพราะถึงความแห้งเหี่ยว. ลูกวัวซูบผอมเพราะหิวนมชื่อว่า
ถึงความเป็นอย่างอื่น. ลูกวัวซูบผอมตาย ชื่อว่า ความแปรปรวน. บทว่า

ปสาทิโต ภควา พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเจ้าศากยะและท้าวสหัมบดีพรหมทรง
ให้เลื่อมใสแล้ว . นัยว่าพระเถระนั่งอยู่ ณ ที่นั้น ได้เห็นพรหมมาด้วยทิพยจักษุ
ได้ยินเสียงทูลวิงวอนด้วยทิพโสต. ได้ทราบความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เลื่อมใสแล้วด้วยเจโตปริยญาณ. เพราะฉะนั้นการส่งภิกษุไร ๆ ไปจะไม่เป็นที่
สบายแก่ภิกษุผู้ถูกเรียกจึงตั้งใจว่า เราจักไปจนกว่าพระศาสดาจะไม่ทรงส่งไป
จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า อปฺโปสฺสุกฺโก เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย คือ
เป็นผู้ไม่ขวนขวายในกิจอย่างอื่น. บทว่า ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหารํ ธรรมเป็น
เครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม. พระผู้มีพระภาคเจ้าคงจะทรงขวนขวายธรรม
เป็นเครื่องอยู่คือผลสมาบัติ มีพระประสงค์จะประทับอยู่. บัดนี้พระองค์จักประ
ทับอยู่ตามชอบใจ พระมหาโมคคัคลานเถระจึงกล่าวว่า จิตของข้าพระองค์ได้
เป็นอย่างนี้. บทว่า มยมฺปิทานิ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราสั่งสอนผู้อื่น
ไล่ออกจากวิหาร. ประโยชน์อะไรด้วยโอวาทของผู้อื่นแก่เรา. บัดนี้แม้เราก็จัก
อยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม. พระเถระผิดในฐานะนี้มิได้รู้ว่า
เป็นภาระของตน. เพราะภิกษุสงฆ์นี้เป็นภาระของพระมหาเถระแม้ทั้งสอง. ด้วย
เหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงห้ามพระสารีบุตรนั้น จึงตรัสบทมีอาทิว่า
อาคเมหิ เธอจงรอก่อน. ส่วนพระมหาโมคคัลลานเถระได้ทราบว่าเป็นภาระ
ของตน. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงประทานสาธุการแก่พระ-
มหาโมคคัลลานเถระนั้น.
บทว่า จตฺตารีมานิ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย 4 อย่างนี้
เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภขึ้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ปรารภเทศนานี้ขึ้น เพื่อทรงแสดงว่าในศาสนานี้มีภัยอยู่ 4 อย่าง. ผู้ใดไม่กลัวภัย
เหล่านั้น ผู้นั้นสามารถดำรงอยู่ในศาสนานี้ได้ ส่วนพวกอื่นนอกนี้ไม่สามารถ.

ในบทเหล่านั้นบทว่า อุทโกโรหนฺเต คือ เมื่อบุคคลกำลังลงน้ำ.
บทว่า กุมฺภีลภยํ ได้แก่ ภัยแต่จระเข้. บทว่า สุสุกภยํ ได้แก่ ภัยแต่ปลา
ร้าย. บทว่า อุมฺมิภยํ ภัยแต่คลื่นนี้ เป็นชื่อของความโกรธและความแค้น.
เหมือนอย่างว่าบุคคลหยั่งลงสู่น้ำในภายนอก จมน้ำในคลื่นแล้วตายฉันใด ภิกษุ
ในศาสนานี้ จมลงในความโกรธและความแค้น แล้วสึกก็ฉันนั้น. เพราะฉะนั้น
ความโกรธและความแค้นท่านกล่าวว่า ภัยแต่คลื่น. บทว่า กุมฺภีลภยํ ภัยแต่
จระเข้นี้เป็นชื่อของความเห็นแก่ท้อง. เหมือนอย่างว่าบุคคลหยั่งลงสู่น้ำภายนอก
ถูกจระเข้กัดตายฉันใด ภิกษุในศาสนานี้ก็ฉันนั้น กินเพราะเห็นแก่ท้องย่อมสึก.
เพราะฉะนั้นความเห็นแก่ท้องท่านกล่าวว่า ภัยแต่จรเข้. บทว่า อรกฺขิเตน
กาเยน
ไม่รักษากาย คือ ไม่รักษากายด้วยการสั่นศีรษะเป็นต้น. บทว่า อรกุ-
ขิตาย วาจาย
ไม่รักษาวาจา คือ ไม่รักษา ด้วยพูดคำหยาบเป็นต้น . บทว่า
อนุปติฏฺฐิตาย สติยา ไม่ตั้งสติมั่น คือ ไม่ตั้งสติเป็นไปในกาย. บทว่า อลํวุ-
เตหิ
ไม่สำรวม คือไม่ปกปิด. คำว่า ปญฺจนฺเนตํ กามคุณานํ อธิวจนํ ความ
ว่า บรรพชิตในศาสนานี้ จมลงในกระแสน้ำวนของกามคุณ 5 แล้ว สึกออกไป
ก็เหมือนกับบุคคลข้ามน้ำเพื่อไปฝั่งโน้น ครั้นดำลงในกระแสน้ำวนแล้ว ก็จม
ตายฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ภัยแต่น้ำวนคือกามคุณ 5. บทว่า
อนุทฺธํเสติ ย่อมตามกำจัด คือ ทำให้ลำบาก ทำให้หดหู่. บทว่า ราคานุทฺ
ธํเสน
คือ มีจิตอันความกำหนัดกำจัดแล้ว. คำว่า มาตุคามสฺเสตํ อธฺวจนํ
ความว่า ภัยเพราะปลาร้าย นี้เป็นชื่อของมาตุคาม. เหมือนอย่างว่าบุคคลหยั่งลง
สู่น้ำภายนอก ได้รับการประหารตายเพราะอาศัยปลาร้ายฉันใด ภิกษุในศาสนานี้
ก็ฉันนั้น เกิดกามราคะอาศัยมาตุคามสึก. เพราะฉะนั้นมาฉุคามท่านจึงกล่าวว่า
ภัยแต่ปลาร้าย. เมื่อบุคคลกลัวภัย 4 อย่างนี้แล้วไม่หยั่งลงสู่น้ำ ก็จะไม่ได้

รับผลร้ายเพราะอาศัยน้ำ เป็นผู้กระหายเพราะอยากน้ำ และเป็นผู้มีร่างกาย
เศร้าหมอง เพราะฝุ่นละอองฉันใด. เมื่อภิกษุกลัวภัย 4 อย่างเหล่านี้แล้ว
แม้ไม่บวชในศาสนา ก็ไม่ได้รับผลดีเพราะอาศัยศาสนา เป็นผู้กระหาย เพราะ
ความอยาก คือตัณหา และเป็นผู้มีจิตเศร้าหมอง ด้วยธุลี คือ กิเลสฉันนั้น.
หรือว่าเมื่อบุคคลไม่กลัวภัย 4 อย่างเหล่านี้ แล้วหยั่งลงสู่น้ำย่อมมีผลดังกล่าว
แล้วฉันใด. เมื่อภิกษุไม่กลัวภัย 4 อย่างนี้แล้ว แม้บวชในศาสนา ก็ย่อมมี
อานิสงส์ดังกล่าวแล้ว.
อนึ่ง พระเถระกล่าวว่า บุคคลกลัวภัย 4 อย่างแล้วไม่หยั่งลงสู่น้ำก็
ไม่สามารถจะตัดกระแสข้ามฝั่งโน้นได้. ครั้นไม่กลัว หยั่งลง ก็สามารถข้าม
ไปได้ฉันใด. ครั้นเขากลัวแล้ว แม้บวชในศาสนา ก็ไม่สามารถตัดกระเเสตัณหา
แล้วเห็นฝั่ง คือ นิพพานได้. ครั้นไม่กลัว ออกบวชจึงสามารถดังนี้. บทที่
เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้น.
อนึ่ง เทศนานี้จบลงด้วยอำนาจแห่งบุคคลผู้ควรแนะนำได้ ด้วย
ประการฉะนี้.

จบอรรถกถาจาตุมสูตรที่ 7

8. นฬกปานสูตร


กุลบุตรผู้มีชื่อเสียงบวช


[195] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในป่าไม้ทองกวาว เขตบ้าน
นฬกปานะ ในโกศลชนบท ก็สมัยนั้น กุลบุตรมีชื่อเสียงมากด้วยกัน คือ
ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระภัททิยะ ท่านพระกิมพิละ ท่านพระภัคคุ
ท่านพระโกณฑัญญะ ท่านพระเรวตะ ท่านพระอานนท์
และกุลบุตร
ที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ มีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตอุทิศเฉพาะพระผู้มี
พระภาคเจ้า ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีหมู่ภิกษุแวดล้อมประทับนั่งอยู่ใน
ที่แจ้ง. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภกุลบุตรทั้งหลาย ตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้มีศรัทธาออกจากเรือนบวช
เป็นบรรพชิต อุทิศเฉพาะเราเหล่านั้น ยังยินดีในพรหมจรรย์อยู่หรือ ภิกษุ
เหล่านั้นได้พากันนิ่งอยู่ แม้ครั้งที่สอง . . .แม้ครั้งที่สาม. . . พระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ทรงปรารภกุลบุตรทั้งหลาย ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุลบุตรผู้มีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต อุทิศเฉพาะเราเหล่านั้น ยัง
ยินดีในพรหมจรรย์อยู่หรือ แม้ครั้งที่สาม ภิกษุเหล่านั้นก็ได้พากันนิ่งอยู่.
[196] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดำริอย่างนี้ว่า
อย่ากระนั้นเลย เราพึงถามกุลบุตรเหล่านั้นเองเถิด ครั้นแล้วได้ตรัสเรียกท่าน
พระอนุรุทธะมาว่า ดูก่อนอนุรุทธะ ภัททิยะ กิมพิละ ภัคคุ โกณฑัญญะ
เรวตะ และอานนท์ เธอทั้งหลายยังยินดีในพรหมจรรย์อยู่หรือ.